รีวิวโยเกิร์ตรสธรรมชาติ 9 แบรนด์ 9 สูตร แบบเน้นๆ จุกๆ เจ้าไหนอร่อย เจ้าไหนกินง่ายบ้าง เราสรุปมาให้หมดแล้ว แต่ถ้าไม่พุดถึงสาระประโยชน์ของโยเกิร์ตก็คงไม่ใช่ ChoiceChecker เพราะฉะนั้น มาเริ่มด้วยการพูดถึงความปัง และประโยชน์ของโยเกิร์ตกันก่อนเลย
ChoiceChecker จะย้ำอยู่บ่อยๆ ว่า ถ้าลำไส้ดี สุขภาพร่างกายดี สุขภาพผิวก็จะดีตาม แล้วอะไรล่ะที่จะดีต่อระบบลำไส้ คำตอบคือจุลินทรีย์ชนิดดี หรือโปรไบโอติกส์นั่นเอง ซึ่งโปรไบโอติกส์สามารถพบได้ในอาหารที่ทำจากนม อาหารหมัก และโยเกิร์ต ซึ่งโยเกิร์ตเป็นโปรไบโอติกส์ที่ราคาไม่แพง หาซื้อง่าย แถมยังกินได้บ่อย กินได้ทุกวัน เอาไปมิกซ์เป็นขนมกินแก้เบื่อช่วงบ่ายๆ ก็ยังได้ **แต่โยเกิร์ตก็ยังมีประโยชน์อีกหลายอย่างเลยนะ ดักไว้ก่อนเลยว่าอ่านประโยชน์ของโยเกิร์ตแล้วจะทำให้อยากพุ่งตัวไปซื้อโยเกิร์ตมาทานอย่างแน่นอน
รู้ประโยชน์ของโยเกิร์ตกันแล้ว ต่อไปมาดูกันว่า รีวิวรสชาติโยเกิร์ตแต่ละเจ้าจะเป้นยังไงบ้าง เจ้าไหนกินยาก เจ้าไหนกินง่าย บอกเลยว่าอ่านโพสต์นี้แล้วไม่ต้องไปสุ่มเล่นเกมเสี่ยงทาย เพราะเราลองมาแล้วว
รีวิวรอบนี้จะรวมรีวิวโยเกิร์ต รสธรรมชาติ จากหลายๆประเทศ ทั้งหมด 9 ยี่ห้อ ที่สามารถหาซื้อได้ที่ ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน เราตั้งใจเลือกรีวิวเฉพาะ โยเกิร์ตรสธรรมชาติ เพื่อความเท่าเทียมกันอันไหนทานง่าย ทานยากวัดกันตรงนี้แหละจ้า และเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกเพศทุกวัย สามารถทานได้แบบมีประโยชน์ เอาไปเติมผลไม้ หรือมิกซ์สูตรต่างๆ กันได้ตามใจ ไม่มีน้ำตาลแฝงปริมาณมากจากการแต่งรสชาติ
เมจิ เมใจ หาซื้อง่ายคุ้นเคยกันที่สุด ขอยกน้องเป็นตัวแทนของแบรนด์โยเกิร์ตที่เราคุ้นเคยกันมานาน ความพิเศษของเจ้านี้คือเค้าลดปริมาณน้ำตาลทรายลง และหันไปใช้วัตถุให้ความหวานแทนน้ำตาลมาทดแทน ทำให้ยังกินได้แบบสบายใจ น้ำตาลไม่พุ่ง แถมอร่อยด้วย
เนื้อโยเกิร์ต เนียบนุ่ม ไม่จับตัวเป็นก้อน เหลวๆ นิดนึง
กลิ่น หอมๆ หวานๆ กลิ่นนมโยเกิร์ตชัดเจนรสชาติ เปรี้ยวๆ หวานปลายลิ้น ไม่เค็ม
ระดับความกินง่าย กินง่ายมาก รสชาติที่คุ้นเคยตั้งแต่เด็ก
แคลอรี่ 60 kCal
น้ำตาล 5 กรัม น้ำตาลน้อยกว่าสูตรปกติ
โยลิดา โยเกิร์ตที่หลายคนพูดถึงความโยเกิร์ตแบบตะโกน ในราคาที่ไม่แพงมาก แต่ได้สัมผัส รสชาติ และประโยชน์แบบเน้นๆ เจ้านี้จะเหมาะกับสายเฮลต์ตี้ สตรองสักนิด เพราะเค้าไม่เน้นหวาน ไม่เน้นอร่อยมาก แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับที่ทานได้เรื่อยๆ (เติมท็อปปิ้งหน่อย เริ่ด!!)
เนื้อโยเกิร์ต เซ็ตตัวเป็นเนื้อเดียวกัน ไม่เหลว ลักษณะคล้ายเนื้อเต้าหู้ที่อยู่ในเต้าฮวย มีน้ำเวย์โปรตีนลอยอยู่ด้านบน
กลิ่น โยเกิร์ตเน้นๆ ไม่ได้หอมหวานมาก
รสชาติ เปรี้ยว เค็ม ไม่รู้สึกรสชาติความหวานเลย
ระดับความกินง่าย ปานกลาง มือใหม่สายหวานอาจจะตกใจนิดนึง
แคลอรี่ 90 kCal
น้ำตาล 5 กรัม
แบรนด์จากฝรั่งเศส อาจจะไม่คุ้นเคยกันมาก แต่หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตทั่วไปเลยค่า ราคาเค้าจะแอบแรงไปสักหน่อย แต่ความอร่อยให้ 10 เพราะทั้งหอมหวาน นัว นวลๆ เนียนๆ ทานง่ายมากกกกก สายขนมหวานต้องเลิฟ
เนื้อโยเกิร์ต เหลวๆ เด้งๆ นุ่นเนียน ละมุนลิ้นกลิ่น ละมุนๆคล้ายชีสเค้ก พาคอทต้า พุดดิ้ง
รสชาติ เปรี้ยวนำ หวานตาม
ระดับความกินง่าย ง่ายมาก ใครที่ชอบชีสเค้กหรือพานาคอตต้าชอบแน่นอน
แคลอรี่ 110 kCal
น้ำตาล 10 กรัม
แบรนด์นี้ยังคงเป็นแบรนด์ที่หาซื้อได้ตามซุปเปอร์มาร์เก็ตเช่นกัน แต่รสชาติเค้าอาจจะไม่ถูกปากสายเน้นอร่อยเท่าไหร่ เป็นโยเกิร์ตที่เค็มนำแบบชัดมาก ใครอยากลองอาจจะต้องเป็นสายสตรองสักนิดนึง
เนื้อโยเกิร์ต ค่อนข้างเหลว เหลวมาก เนียนนุ่ม
กลิ่น โยเกิร์ตชัดแจ่ม
รสชาติ เค็มนำ จนตกใจ มีความนมๆ ไม่ค่อยมีรสอื่น
ระดับความกินง่าย ค่อนข้างยาก น้องเค็มไปหน่อย แง แคลอรี่ 80 kCal
น้ำตาล 8 กรัม
แดรี่โฮม แก้วเล็กปุ๊กปิ๊กที่สุดในรุ่น แบรนด์นี้เค้าเด่นเรื่องความออร์แกนิค รสชาติให้ 10 เลย แต่น้ำตาลก็สูงเหมือนกัน พอชิมแล้วเทียบความหวานกับเมจิตัวแรกเรารู้สึกว่าแดรี่โฮมเค้าหวานน้อยกว่านะ
เนื้อโยเกิร์ต เซ็ตตัวดี ตักได้เป็นก้อน นุ่นนิ่มกลิ่น โยเกิร์ตจางๆ
รสชาติ อร่อย มีความพอดี ไม่เปรี้ยวเกินไป ไม่หวานเกินไป ทั้งที่น้ำตาลเยอะกว่าหลายยี่ห้อ แต่ไม่ได้หวานแหลม ถ้าเทียบกับเมจิ ตัวนั้นจะหวานกว่า น่าจะเพราะเมจิเค้าใส่สารให้ความหวานด้วย
ระดับความกินง่าย ง่ายมาก หอมหวานอร่อย เด็กๆ ทานได้แน่
แคลอรี่ 110 kCal
น้ำตาล 13 กรัม
แบรนด์โยเกิร์ตจากญี่ปุ่น กลิ่นคือรู้เลยว่ามีความญี่ปุ่น เพราะหอมนวลๆ ฟีลนมฮอกไกโดเลย หอมมาก รสชาติก็อร่อย หวานมัน ทานง่าย แต่ข้อเสียคือน้องไม่มีตารางโภชนาการมาบอกเลยเดาไม่ได้ว่าความอร่อยหวานมันเนี่ยซัดน้ำตาลไปเท่าไหร่
เนื้อโยเกิร์ต เซ็ตตัวดี ไม่เหลว
กลิ่น หอมคล้ายๆนมฮอกไกโด รสชาติ หวานนำ เค็มตามนิดๆ มีความนมฮอกไกโดเบาๆ
ระดับความกินง่าย ง่ายมาก ทานได้เรื่อยๆเลย
ไม่ระบุค่าพลังงานและน้ำตาล
ถั่วเหลืองหมัก เอาใจสายวีแกน ทานเจกันบ้างเค้ามีกราโนล่าแถมมาให้ด้วยนะ ส่วนกลิ่นก็คือนมถั่วเหลืองแบบถั๊วถั่ว ไปสุดทางมาก รสชาติขอบอกเลยว่าถ้าไม่ใช่สายวีแกน สายเจอาจจะไม่ชินจริงๆ
เนื้อโยเกิร์ต สีไม่ขาวเหมือนโยเกิร์ตอื่นๆ จะออกน้ำตาลอ่อนๆ เนื้อเหลว
กลิ่น นมถั่วเหลืองแบบเน้นๆรสชาติ เป็นรสนมถั่วเหลืองที่เปรี้ยวหน่อย หวานนิดๆ มีความเฝื่อนๆที่ปลายลิ้น
ระดับความกินง่าย ยาก สำหรับคนที่ชินกับโยเกิร์ตนมวัวตกใจแน่นอน ฮือออ
แคลอรี่ 80 kCal
น้ำตาล 5 กรัม
Plant based กันมาอีกเจ้านึง อัลมอนด์หมัก พยายามจินตนาการว่าน้องอาจจะรสชาติคล้ายนมอัลมอนด์ แต่ชิมแล้วบอกเลยว่าไม่ใช่!!! เป็นความนมอัลมอนด์ที่เปรี้ยว กินไปเรื่อยๆ มีความขมตามมา ซึ่งรวมๆ แล้วแปลกพอสมควรเลยค่ะ
เนื้อโยเกิร์ต สีน้ำตาลอัลมอนด์ เนื้อเหลว
กลิ่น อัลมอนด์ผสมโยเกิร์ตรสชาติ เปรี้ยวเบาๆ บวกกับรสชาติของอัลมอนด์ กินไปเรื่อยๆคล้ายๆกาแฟจางๆ
ระดับความกินง่าย ยากเหมือนกัน อาจจะเพราะเราไม่ชิน แต่ถ้าเป็นสายวีแกน น่าจะทานง่ายแน่นอนค่ะ
แคลอรี่ 120 kCal
น้ำตาล 3 กรัม
โยเกิร์ตสายเฮลต์ตี้ที่หาซื้อได้ทั่วไปเลย เป็นแบรนด์ที่หลายคนน่าจะเคยชิม ซึ่งเค้ามีหลายสูตรนะ ทั้งสูตรกลมกล่อม หรือเติมน้ำผึ้ง แต่สูตรที่เราหยิบมาเป็นสูตรธรรมชาติเพียวๆ ความกินยากน้องเลยมาเต็มไปสักนิดนึงเนื้อโยเกิร์ต เนื้อจับตัวเป็นก้อนๆ เล็กๆ ไม่เนียนกลิ่น โยเกิร์ตแบบตะโกน
รสชาติ เค็มนำ เปรี้ยวตาม ไม่มีความหวานเลย
ระดับความกินง่าย ค่อนข้างยาก เพราะรสชาติติดเค็ม แอบไม่ชินเท่าไหร่
แคลอรี่ 70 kCal
น้ำตาล 4 กรัม
หลังจากรีวิวไปครบ 9 แบรนด์โยเกิร์ตแล้ว เรามาแถมสูตรการกินโยเกิร์ต ที่จะทำให้สูตรที่ดูกินยากๆ ง่ายขึ้นเพราะเพิ่มรสชาติและความอร่อยเข้าไป และที่สำคัญคือยังเพิ่มประโยชน์ให้โยเกิร์ตได้มากขึ้นแบบเน้นๆ ด้วยค่ะ
แนะนำให้ทานโยเกิร์ตร่วมกับอาหารที่มีพรีโอติกส์ เพื่อไปเป็นอาหารของโพรไบโอติกส์ที่จะช่วยเสริมหารทำงานของจุลินทรีย์เหล่านี้ได้แบบปังมากขึ้นนั่นเอง แต่มีอะไรบ้างตามไปอ่านเลย
โยเกิร์ตมีประโยชน์มากมายต่อสุขภาพ สามารถทานได้เป็นประจำ แต่ถ้าใครยังไม่คุ้นชินกับรสธรรมชาติ แนะนำให้เริ่มจาก โยเกิร์ตยี่ห้อที่เรารีวิวว่ากินง่ายก่อน อย่างเช่น เมจิ, เดลี่โฮม แล้วค่อยๆ ขยับเลเวลไปเรื่อยๆ เติมกราโนล่า เพิ่มความกินง่ายก็ได้ ไม่บาป ได้ไฟเบอร์ และอยู่ท้องขึ้นด้วยค่ะ
ตารางสรุปรีวิว 9 โยเกิร์ต รสธรรมชาติ เจ้าไหนอร่อยไปดูกันเลย
ตารางรีวิวสรุป 9 โยเกิร์ตรสชาติธรรมดา
ตารางรีวิวสรุป 9 โยเกิร์ตรสชาติธรรมดา
จากการศีกษาพบว่าไม่ว่าโปรไบโอติกส์มาจากที่ไหน จะสามารถอยู่ในทางเดินอาหารของเราได้แค่ 1 สัปดาห์ ถึง 10 วัน และควรระวังเรื่องความเครียด การใช้ยาปฏิชีวนะ หรือภาวะเจ็บป่วย จะส่งผลต่อความสมดุลของโปรไบโอติกส์ในร่างกาย เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆว่าเราควรทานอาหารที่มีโปรไบโอติกส์เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพราะน้องสำคัญกับร่างกายของเรา แต่การทานมากไปก็อาจไม่ดีอย่างที่คิด ยังไงเดินทางสายกลาง ทานน้องแบบสม่ำเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดนะคะ
👩⚕️คอนเทนต์นี้จัดทำโดยนักวิทยาศาตร์ประจำ ChoiceChecker👩⚕️
Reference
ความคิดเห็น