Choicechecker เชื่อว่าหลายคนคงเคยผ่านประสบการณ์เรื่องนอนไม่หลับ เช่น หลับๆตื่นๆกลางคืน กว่าจะนอนหลับใช้เวลานาน หรือนอนไปแล้วรู้สึกว่าหลับไม่ลึกตื่นมาเลยไม่รู้สึกสดชื่น ใครเคยมีปัญหาแบบนี้ควรรู้ตัวว่าต้องแก้ไขโดยเร็ววัน ไม่เช่นนั้นอาจจะกระทบกับสุขภาพในระยะยาวอย่างแน่นอนทั้งโรคสมองเสื่อมก่อนวัย โรคหัวใจ ผิวพรรณเหี่ยวย่น อายุสั้นลงเป็นต้น ล่าสุดเจ้มิ้นต์แห่ง Choicechecker ได้มีโอกาสนั่งดูรายการญี่ปุ่น เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการนอนไม่หลับโดยผู้เชี่ยวชาญทั้งแพทย์และอาจารย์มหาวิทยาลัย และพบว่ามีหลายเคล็ดลับที่อาจจะช่วยทำให้พวกเราเพิ่มคุณภาพการนอนได้ดีขึ้น
เลือกทางลัดไปอ่านหัวข้อที่สนใจเลย
โดยช่วงการนอนทั้ง Non REM Sleep และ REM Sleep จะสลับกันไปราวๆ 5 รอบ จนเราตื่นในตอนเช้า ในแต่ละรอบจะใช้เวลาราวๆ 90 นาที ดังนั้นระยะเวลาการนอนที่เหมาะสมอยู่ที่ 7-8 ชั่วโมง
1. “ไม่ง่วงอย่านอน”
ถ้ายังไม่ง่วงนอน ยังไม่ต้องล้มตัวลงไปนอน ให้หากิจกรรมผ่อนคลายอื่นทำเช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง ดูหนังหรือตลกช่วยผ่อนคลาย รอให้ง่วงสุดๆก่อนค่อยล้มตัวนอนจะดีกว่า หลายคนเข้าใจผิดคิดว่า การนอนให้ตรงเวลาหรือการล้มตัวลงไปนอนเร็วเป็นเรื่องที่ดี แต่ในความจริงแล้วต้องชั่งใจ หากล้มตัวลงนอนตอนที่ไม่รู้สึกง่วงนอนจะทำให้ใช้เวลานานมากเดิมกว่าจะหลับ กลายเป็นว่ามีเวลาให้จิตใจคิดฟุ้งซ่านเยอะขึ้น และเกิดเป็นความเครียดกดดันว่าต้องนอนหลับให้ได้ สุดท้ายก็จะหลับยาก จากที่จะรับได้ประสบการณ์การนอนหลับอันแสนสุขกลายเป็นจดจำว่า “เคยนอนไม่หลับ” เสียแทน ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นแนะนำว่า การนอนตรงเวลาเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้ายังไม่ง่วงอย่านอนดีกว่า เพราะอาจส่งผลเสียมากกว่า
2. “พยายามลืมว่าเราเคยนอนไม่หลับ”
เชื่อว่าหลายคนที่เคยมีประสบการณ์นอนไม่หลับจะลืมไม่ลง เมื่อไรที่คิดว่าจะเจอเหตุการณ์คล้ายเคียงกัน ยิ่งทำให้รู้สึกเกร็ง กังวลและกดดันไปหมดว่าจะนอนหลับไหม? นั่นยิ่งทำให้นอนไม่หลับ สิ่งที่จำเป็นทุกครั้งหลังจากผ่านประสบการณ์นอนไม่หลับ เราต้องพยายามลืมเสียให้หมดว่า “ครั้งหนึ่งเราเคยนอนไม่หลับ” ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่า Choicechecker เข้าใจว่าการลืมอะไรสักอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็อยากให้รู้ไว้ เพื่อเตือนใจตนเองเสมอ ผู้เชี่ยวชาญญี่ปุ่นกล่าวว่า ไม่มีสาเหตุอะไรที่แย่ไปกว่า การจำว่าเคยนอนไม่หลับ ดีที่สุดคือพยายามหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ที่อาจะทำให้นอนไม่หลับ
3. “ไม่กินน้ำก่อนนอน 2 ชั่วโมง ไม่กินอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 4 ชั่วโมง”
กินก่อนนอนนอกจากอาจะทำให้ต้องพบเจอปัญหาสุขภาพเช่น โรคกรดไหลย้อนแสบทรวงอก หรือรุนแรงขึ้นมาก็กระเพราะอาหารอักเสบ เป็นสาเหตุของโรคเบาหวาน ความดัน ไขมัน หัวใจแล้วยังทำให้นอนหลับยากขึ้น เพราะเวลาที่เรากินร่างกายสั่งให้สมองตื่น เพื่อให้ฮอร์โมนอินซูลินทำงานในการเปลี่ยนน้ำตาลเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ดังนั้นจะกระทบจังหวะการนอน ทำให้คุณภาพการนอนของแย่ลง หลับยากมากกว่าเดิม ดังนั้นอยากนอนหลับ หลีกเลี่ยงการทานหรือการดื่มก่อนนอนไปเลยจะดีกว่า ปล่อยให้ท้องหิวบ้าง จะดีกับสุขภาพเสียมากกว่า
4. “หลีกเลี่ยงเรื่องที่ทำให้กังวล อย่างน้อย 2-4 ชั่วโมง”
บางคนยังทำงานจนถึงเวลานอนหรือบางคนยังเล่นโซเชียล ติดตามข่าวเรื่องนั่นเรื่องนี้อยู่เลย นั่นทำให้ยิ่งนอนหลับยาก นอกจากแสงสีฟ้าจากหน้าจอสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ส่งผลกระทบต่อการนอนโดยตรงแล้ว ยังเป็นเหตุที่ทำให้หยุดคิดไม่ได้ แม้จะล้มตัวลงนอนก็ยังคงมีเรื่องให้คิดต่อ ยากที่จะปล่อยวางแล้วหยุดความคิด ปล่อยตัวให้สบายๆได้
5. “แช่น้ำอุ่นหรืออาบน้ำอุ่นก่อนนอน”
วัฒนธรรมคนไทยอาจจะไม่มีการแช่น้ำอุ่น Choicechecker แนะนำว่าอาบน้ำอุ่นแทนก่อนนอน 1.5 ชั่วโมง เพราะการแช่หรืออาบน้ำอุ่นอุณหภูมิราวๆ 39-40 องศา เป็นเวลา 10-15 นาที นอกจากช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย เมื่ออาบน้ำหรือแช่น้ำอุ่น ในช่วงแรกอุณหภูมิร่างกายของจะเพิ่มขึ้นประมาณ 1°C เพียงชั่วคราว หลังจากนั้นการไหลเวียนของเลือดจะดีขึ้น หลอดเลือดจะเปิด ทำให้ร่างกายระบายความร้อนได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้อุณหภูมิในร่างกายลดลง อุณหภูมิร่างกายลดลงช่วยเตรียมความพร้อมในการนอน
👩⚕️คอนเทนต์นี้จัดทำโดยเภสัชกรวิชาชีพประจำ ChoiceChecker👩⚕️
Reference
ความคิดเห็น