ผิวแต่ละประเภทและรองพื้นคู่ใจ

รองพื้นเป็นไอเทมและเป็นขั้นตอนที่สำคัญและพลาดไม่ได้สำหรับทุกๆคนที่แต่งหน้า เพราะเป็นขั้นตอนที่ช่วยในการปกปิดและปรับให้ผิวดูมีสภาพที่เรียบเนียน รองพื้นจึงกลายเป็นไอเทมที่สำคัญและขาดไม่ได้สำหรับหลายๆคน

แต่การจะเลือกรองพื้นที่ดีที่ถูกใจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายมากนัก เพราะไหนในตลาดจะมีรองพื้นมากมายหลายแบบ และไม่ใช่ว่าทุกรองพื้นจะเหมาะกับสภาพผิวของเรา Choicechecker จะพามาดูกันว่ารองพื้นแบบนี้จะเหมาะกับสภาพผิวแบบไหนกันบ้าง 

Liquid Foundation หรือ รองพื้นเนื้อน้ำ Liquid Foundation เป็นรองพื้นที่เนื้อค่อนข้าวเหลว คล้ายน้ำทำให้เกลี่ยง่าย ซึ่งมีทั้งแบบที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซึ่งจะเหมาะกับชาวผิวมัน ,แบบที่มีมีน้ำมันเป็นส่วนผสมหลักซึ่งจะเหมาะกับชาวผิวปกติกับผิวแห้ง  และแบบที่มีน้ำเป็นส่วนผสมหลัก ซึ่งจะเหมาะกับชาวผิวธรรมดาและผิวมัน 

Mousse Foundation หรือรองพื้นเนื้อมูส มีลักษณะเนื้อเป็นฟองครีมนุ่ม เลี่ยค่อนข้างง่าย เมอื่เซ็ทตัวแล้วจะมีลักษณะคล้ายแป้ง แต่ยังให้ความชุ่มชื้นกับผิวได้ดี ซึ่งรองพื้นแบบนี้จะเหมากับชาวผิวธรรมดาและผิวแห้ง

Cream Foundation หรือรองพื้นเนื้อครีม มีลักษณะเนื้อเป็นครีม เนื้อจะมีความแน่น ทาแล้วจะรู้สึกแห้ง และเกลี่ยค่อนข้างยากกว่ารองพื้นเนื้อน้ำ ซึ่งเหมาะกับชาวผิวแห้ง เพราะจะสามารถให้ความชุ่มชื้นได้เป็นพิเศษ

Powder Foundation หรือรองพื้นเนื้อแป้ง จะมีลักษณะเป้นแป้งฝุ่น ช่วยดูดซึมความมันบนใบหน้าจึงไม่เหมาะกับชาวผิวแห้งสักเท่าไหร่ ส่วนชาวผิวประเภทอื่นก็ไม่ต้องกังวล

หลังสำรวจตัวเองแล้วว่าสภาพผิวของเราจะเหมาะกับรองพื้นประเภทไหน วันนี้ Choicechecker ยังมีรองพื้นตัวที่น่าสนใจมาแนะนำอีก 5 ตัว ด้วยกันเผื่อว่าหนุ่มๆ สาวๆ จะอ่านไว้พิจารณาตอนไปช้อปปิ้งรองพื้นอันใหม่กันรอบหน้านะจ๊ะ 

ตัวแรก เรามาดูกันที่ Estēe Lauder Double wear Stay-in-Place Makeup Teint longue tenue intransferable SPF10/PA++

รองพื้นจากแบรนด์ Estēe Lauder ซึ่งอาจจะไม่แปลกใจถ้าตัวนี้จะเป็นตัวที่ครองใจใครหลายๆคนอยู่แล้ว เพราะเป็นรองพื้นตัวที่ขายดีเป็นอันดับ 1 ของแบรนด์นี้ ที่สำคัญคือมี SPF 10 ที่สามารถช่วยกันแดดได้ด้วย ซึ่งทางแบรนด์ยังเคลมไว้ว่าตัวนี้เนื้อเบาบาง ดูเป็นธรรมชาติ และติดทนนานตลอดทั้งวัน มีมากกว่า 30 เฉดสี

รีวิวรองพื้น : รองพื้นเนื้อค่อนข้างเหลว เกลี่ยง่าย เนื้อ Matte เมื่อเซ็ทตัวแล้วไม่รู้สึกว่าแห้งจนเกินไป ยังให้ความรู้สึกได้ว่าเนื้อรองพื้นสามารถติดกับผิวได้อย่างดี ไม่ได้รู้สึกว่าหนาและหนักหน้ามากจนเกินไป 

ตัวต่อมา Dior Forever undercover 24H full coverage รองพื้นจากแบรนด์ Dior ตัวนี้ถูกเคลมมาว่า ช่วยเรื่องการปกปิดได้สูง ทำให้ผิวดูสุขภาพดีแถมยังติดทนนานได้ทั้งวัน ซึ่งตัวนี้ในไทยมีให้เลือกประมาณ 6 เฉดสี

รีวิวรองพื้น : รองพื้นเบสน้ำแต่ค่อนข้างข้น เนื้อ Matte เกลี่ยง่าย  เซ็ทตัวเร็วมากแต่ไม่ทำให้ดูแห้งจนเกินไป จึงทำให้ไม่รู้สึกหนาและหนักหน้า

ตัวที่สาม Burberry Matte Glow Foundation รองพื้นจากแบรนด์ Burberry ตัวนี้ให้ผิวสัมผัสแมตต์ แต่ยังยังคงช่วยให้ผิวดูโกลว์ ดูเป็นธรรมชาติ สร้างความโดดเด่นให้กับผิว ซึ่งตัวนี้มีให้เลือกมากกว่า 30 เฉดสีด้วยกันเลยทีเดียว

รีวิวรองพื้น :  เป็นเนื้อ Velvet ไม่ได้ Matte ซะทีเดียว แต่ก็ไม่ได้ดู Dewy มากจนขึ้นมันชัดเจน เนื้อค่อนข้างน้ำหนักเบา ไม่รู้สึกหนักหน้าและไม่ทำให้รู้สึกมันจนเกินไป

ตัวที่สี่ Makeup Forever Reboot รองพื้นจากแบรนด์สัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Makeup Forever ตัวนี้เป็นรองพื้นที่ช่วยฟื้นฟูผิวที่ดูเหนื่อยล้า ทำให้ผิวดูเหมือนว่ากถูดรีบูทจากความเครียดต่างๆ จนถึงมาลภาวะที่ต้องเจอในชีวิตประจำวัน รวมถึงการอดนอน ซึ่งตัวนี้ มีให้เลือกทั้งหมด 24 เฉดสีด้วยกัน

รีวิวรองพื้น: น้ำหนักเบา รู้สึกเหมือนเป็นน้ำ เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นเนื้อSatin ค่อนข้างเกลี่ยง่าย ค่อนข้างให้ความชุ่มชื้นได้ดีแต่ไม่ทำให้หน้ามันจนเกินไป ทำให้ผิวดูเรียบเนียน ละเอียด ไม่ตกร่อง 

และสุดท้าย Hourglass Vanish Seamless Foundation Stick รองพื้นแท่ง สูตร full coverage ที่ขึ้นชื่อเรื่องการปกปิดขั้นสูง มีให้เลือกมากกว่า 30 เฉดสี ซึ่งยังสามารถใช้คอนทัวร์หน้าได้อีกด้วย ซึ่งตัวนี้ทางแบรนด์เคลมมาว่ายังช่วยปกปิดได้ยาวนานถึง 12 ชั่วโมง

รีวิวรองพื้น : ตัวนี้เป็นรองพื้นแบบแท่ง เนื้อยังค่อนข้างนิ่ม น้ำหนักเบา ในการแต่งแต่ละครั้งไม่จำเป็นต้องใช้เยอะจึงไม่ทำให้หนักหน้ามาก ช่วยทำให้ผิวดูเรียบเนียน ไม่ตกร่อง หลังใช้แล้วค่อนข้างทำให้ดูเป็นธรรมชาติ เนื้อไม่ Matteจัด และยังให้ความชุ่มชื้นพอสมควรสำหรับชาวผิวแห้ง

และเมื่อเรามีรองพื้นที่ดี ที่ถูกใจไว้ใช้แล้ว วิธีการเซ็ทก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้รองพื้นจะติดทนอยู่กับเราได้นานตลอดทั้งวันเช่นกัน ChoiceChecker แนะนำให้ใช้แป้งฝุ่นประเภท Loose powder มาลงซ้ำอีกครั้งหนึ่งนะคะ