Vitamin E ฮีโร่ของ(ผิว)พวกเรา

โดย เภสัชกรประจำ choicechecker 14/10/2019

 

Vitamin E ดีต่อผิวอย่างไร? ทุกคนอาจจะเคยได้ยินถึงสรรพคุณของ ของ VitaminE กับเส้นผม แต่ ขอยืนยันได้เลยว่าวิตามินอีนั้นดีต่อผิวไม่แพ้กันเลยค่ะ  แต่ว่าดีอย่างไร วิตามินอีคืออะไรกันแน่ ใครควรใช้หรือใครไม่ควรใช้ และมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวตัวไหนที่มีวิตามินอีบ้าง? วันนี้ ChoiceChecker จะพาทุกท่านไปเคลียร์ให้กระจ่างสว่างไสวกันค่ะ (
แต่สว่างน้อยกว่าหน้าดิฉันนิดนึงเพราะติดตาม ChoiceChecker จนหน้าใสฟริ้งค่ะ /หัวเราะ)


Vitamin E คือ? วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในน้ำมัน มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ (อนุมูลอิสระคืออะไรนะเหรอ ก็คือสิ่งไม่ดี หรือ ‘วายร้าย’ ที่ทำร้ายผิวให้อ่อนแอและแก่เร็ว)

Vitamin E ดีต่อผิวอย่างไร? วิตามินอีสามารถชะลอกระบวนการแก่ตัวของผิวที่เกิดจากแสงแดด (Anti-photoaging) โดยไปจัดการกับเจ้าอนุมูลอิสระที่เกิดตลอดเวลาตอนโดนแดด พูดง่ายๆคือ วิตามินอีช่วยชะลอพวกริ้วรอยต่างๆ และเสริมสร้างเกราะป้องกันผิวที่อ่อนแอจากการถูกทำร้ายจากแสงแดด Anti-aging and Strengthen skin barrier )

คุณประโยชน์ต่อมาของวิตามินอีคือลดการอักเสบ หรือปลอบประโลมผิว นอกเหนือจากนั้นแล้ว วิตามินอียังสามารถให้ความชุ่มชื้นให้กับผิว ส่งผลให้ผิวนุ่มลื่นน่าสัมผัส พอผิวชุ่มชื้นแล้ว ริ้วรอยจากหน้าที่แห้งก็จะเกิดยากขึ้นตามไปด้วยค่ะ

ใครควรใช้วิตามินอีบ้าง? เกือบทุกคนใช้ได้ค่ะ ที่บอกว่า‘เกือบ’ ก็เพราะว่ามีคนจำนวน ‘น้อย’ ที่แพ้วิตามินอี สาเหตุจากการแพ้นั้นยังไม่ทราบแน่ชัด (อารมณ์เหมือนบางคนแพ้ถั่วค่ะ) และเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีส่วนใหญ่จะมีน้ำมันผสมเพื่อทำให้วิตามินอีละลายในผลิตภัณฑ์ได้ดีขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นน้ำมันสังเคราะห์หรือน้ำมันธรรมชาติที่ก็อุดมด้วยวิตาินอีเช่นกัน วิตามินอีจึงดูไม่ค่อยเป็นฮีโร่กับคนที่มีผิวมันหรือผิวแพ้ง่ายที่เป็นสิวง่ายสักเท่าไหร่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วจึงควรเลี่ยงการใช้วิตามินอีในรูปแบบที่เข้มข้นเป็นประจำทุกวันเช้าเย็น เพราะอาจก่อให้เกิดการอุดตันได้ ทาง ChoiceChecker จึงแนะนำให้ผิวมันและเป็นสิวง่าย ใช้อาทิตย์ละครั้งสองครั้งเป็นการบำรุงพิเศษไปจะดีกว่า หรือหากยังต้องการใช้วิตามินอีทุกวัน ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อบางเบากว่า ส่วนผิวแห้งและแห้งมากนั้นจะชื่นชอบผลิตภัณฑ์ที่มีวิตามินอีเป็นพิเศษค่ะ
 

วันนี้ ChoiceChecker ได้รวบรวมสกินแคร์ที่มีวิตามินอีเป็นส่วนประกอบมาไว้แล้วดังต่อไปนี้ มาให้ดูกันว่าคุณวิตามินอีคนไหนเหมาะกับสภาพผิวของเราค่ะ

 


 

1. Kiehl’s Ultra Facial Moisturizer จาก Kiehl's  (125 มล./1,500 บาท )

เริ่มด้วย มอยซ์เจอไรเซอร์เติมความชุ่มชื้นให้แก่ผิวตัวดังตลอดกาลของคุณคีลส์ที่อาจคุ้นหูคุ้นตากับตัว Ultra Facial Cream ที่เป็นเนื้อครีมมากกว่า แต่สูตรนี้จะแตกต่างตรงที่บางเบาและซึมซาบง่ายกว่า จริงๆแล้วสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว เพียงแค่ชาวผิวมันและผิวผสมอาจต้องระวัง เนื่องจากเนื้อโลชั่นที่มีความหนาในระดับหนึ่ง นอกเหนือจากนี้ ยังมีน้ำมันสกัดธรรมชาติเช่น Sweet Almond Oil ที่เปี่ยมไปด้วยวิตามินอี และมีส่วนประกอบหลักที่ให้ความชุ่มชื้น เช่น สควาเลน, กลีเซอริน


ลักษณะผลิตภัณฑ์: โลชั่นสีขาว ไม่มีกลิ่น
 

วิธีใช้: ทาทั่วหน้าและลำคอเช้า- ก่อนนอนหลังเซรั่ม เหมาะสำหรับผิวแห้งมากไปจนถึงผิวผสม แต่ผิวมัน ผิวผสมก็สามารถใช้ได้ แต่แนะนำให้เริ่มทาเฉพาะก่อนนอนเพื่อลดความเหนอะหนะที่อาจเกิดขึ้นระหว่างวัน (อย่างน้อยคุณเขาก็มีความมันอยู่ ดังนั้นจึงไม่ได้บางเบาเข้าขั้นน้ำตบหรือเจลน้ำบำรุง)

สภาพผิวที่เหมาะสม ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวปกติ
การอุดตันโดยรวม 3/5
คุณภาพของส่วนประกอบสำคัญ ดี
คุณภาพของส่วนประกอบโดยรวม ดี
โอกาสแพ้ระคายเคือง น้อย
หมายเหตุ ชาวผิวมันก็ใช้ได้ค่ะ แต่ใครที่สิวอุดตันง่ายๆก็ต้องระวังหน่อย
 


2. The Body Shop Vitamin E Aqua Boost Essence Lotion (160 มล./890 บาท )

โลชั่นวิตามินอีจาก The Body Shop ที่มีส่วนผสมของ Wheat Germ Oil Oil ที่อุดมไปด้วยวิตามินอี และส่วนประกอบหลักที่ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวอย่างกลีเซอรินและไฮยาลูรอน ด้วยความที่เนื้อใสและบางเบา จึงทาได้ตั้งแต่สภาพผิวแห้งไปจนถึงผิวปกติ ผิวผสม แต่แห้งมากอาจไม่ค่อยปลื้มมากเท่าไหร่นะคะ ด้วยการที่คุณคนนี้ไม่ได้เน้นเรื่องความริชของเนื้อผลิตภัณฑ์อย่างตัวอื่นๆค่ะ ดังนั้นหากมีผิวที่แห้งมากควรใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ตัวอื่นร่วมด้วยจะดีกว่าค่ะ

ลักษณะผลิตภัณฑ์: โลชั่นค่อนข้างใส มีกลิ่นหอม

วิธีใช้: ทาทั่วหน้าและลำคอเช้า- ก่อนนอนก่อนทาเซรั่มและสกินแคร์ตัวถัดไป เหมาะสำหรับผิวผสม ปกติ (สำหรับผิวแห้งมาก อาจเหมาะกับคุณคนที่ให้ความชุ่มชื้นหรือมีความเข้มข้นมากกว่านี้ และก็ยังไม่เหมาะกับผิวมันสักเท่าไหร่เพราะมีส่วนประกอบที่อาจก่อให้เกิดการอุดตันได้)

สภาพผิวที่เหมาะสม ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวปกติ
การอุดตันโดยรวม 2/5
คุณภาพของส่วนประกอบสำคัญ ดี
คุณภาพของส่วนประกอบโดยรวม ดี
โอกาสแพ้ระคายเคือง น้อย
หมายเหตุ ผิวมันก็ใช้ได้ค่ะ แต่ถ้าสิวขึ้นง่ายก็ต้องระวังหน่อย ส่วนชาวผิวแห้งมากๆก็อาจจะไม่ประทับใจตัวนี้เท่าไร


 

3.L’occitane Immortelle Divine Youth Face Oil  (15 มล./2,475 บาท)

ออยล์ทาหน้าจาก L’occitane ที่อุดมไปด้วยน้ำมันหอมระเหยจาก Immortelle ที่มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ และน้ำมันธรรมชาตินานาชนิด เช่น Sunflower seed oil, Borage seed oil, Corsica oil ที่อุดมไปด้วยวิตามินอีกับโอเมก้า ใครที่ชอบเนื้อเบาๆไม่เหนียวเหนอะหนะ ห้ามพลาดคุณเขาเด็ดขาดเลยค่
 

ลักษณะผลิตภัณฑ์: น้ำมันเนื้อเบาๆ มีกลิ่นหอม
 

วิธีใช้: ใช้ทาหน้าก่อนเซรั่ม (Preserum) หรือใช้เป็นขั้นตอนสุดท้ายของสกินแคร์ก็ได้ สามารถใช้ได้ทั้งเช้า-ก่อนนอน เหมาะสำหรับผิวแห้ง-แห้งมาก ส่วนผิวผสมและผิวมันควรใช้เป็นการบำรุงพิเศษ เช่น อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง โดยอาจผสมกับโลชั่นหรือเซรั่มตัวอื่นเพื่อให้เกลี่ยได้ง่ายและมีเนื้อสัมผัสที่บางเบามากขึ้น

สภาพผิวที่เหมาะสม ผิวแห้ง ผิวผสม ผิวปกติ
การอุดตันโดยรวม 2/5
คุณภาพของส่วนประกอบสำคัญ ดี
คุณภาพของส่วนประกอบโดยรวม ดี
โอกาสแพ้ระคายเคือง น้อย
หมายเหตุ ผิวมันก็ใช้ได้ค่ะ แต่ถ้าสิวขึ้นง่ายก็ต้องระวังหน่อย


สรุปกันตรงนี้อีกครั้งนะคะว่าการทาวิตามินอีช่วยอะไร
1. มอบความชุ่มชื้นแก่ผิว
2. ลดการอักเสบของผิว
3. ชะลอริ้วรอยต้านผิวแก่


ดังนั้น พวกเราชาว ChoiceChecker จึงควรมีผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนประกอบของวิตามินอีติดโต๊ะเครื่องแป้งไว้ก็ไม่เสียหายก็ด้วยสรรพคุณที่มีมากมาย


บทความที่เกี่ยวข้อง

ความคิดเห็น


สนใจของ the body shop ค่ะ ตัวนี้พึ่งเคยเห็นในรีวิวนี้เลย น่าสนใจมาก
17/02/2023 16:26
วิตมินe ดีมากจริงๆค่ะ เมื่อก่อนมีรอยรอยสิวรอยดำจะนึกถึงคนีม เซรั่ม ที่มีส่วนผสมนี้ตลอดเลย
05/02/2023 03:56
ดีมากค่าาาาาาา
20/09/2022 11:23