ได้ยินชื่อบ่อยมากสำหรับสารเคมี AHA กับ BHA เพราะมีแต่คนพูดถึงว่าใช้แล้วสิวลด ใช้แล้วผิวกระจ่างใสขึ้น ใช้แล้วหน้าเนียนเป็นกอง แต่เคยสงสัยไหมว่าทั้ง 2 อย่างนี้เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร? เมื่อไรที่ควรใช้ AHA? เมื่อไรที่ควรใช้ BHA? แต่ละอย่างมีจุดเด่นอย่างไร? ใช้แทนกันได้ไหม? เป็นคำถามที่เชื่อว่าหลายคนก็คงสงสัยและกำลังรอคำตอบที่เคลียร์ชัดๆอยู่ ดังนั้น Choicechecker จะมาสรุปให้คลียร์ขอสงสัยเหล่านี้ให้กระจ่าง เวลาซื้อสกินแคร์จะได้ไม่พลาด!
เลือกทางลัดไปอ่านหัวข้อที่สนใจเลย
AHA หรือชื่อเต็มๆ α-hydroxy acids เป็นกรดที่ได้มาจากผลไม้ หรือสัตว์ ตามธรรมชาติ
ตัวอย่าง AHA ได้แก่ mandelic acid, glycolic acid (ได้มาจากอ้อย) , lactic acid ,hydroxycaproic acid, hydroxycaprylic acid , malic acid , tartaric acid, citric acid เป็นต้น ส่วน AHA ที่เห็นเป็นที่นิยมใส่ในสกินแคร์กันคงหนีไม่พ้น mandelic acid, glycolic acid หรือ lactic acid ลองพลิกขวดสกินแคร์ AHA จะเห็นว่ามักมีส่วนผสม 3 ตัวนี้อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ก็ทั้งหมด
AHA ออกฤทธิ์กับผิวได้หลากหลาย ได้แก่ ต้านเชื้อแบคทีเรีย, ควบคุมการทำงานของต่อมไขมัน , ผลัดเซลล์ผิวชั้นบนสุด, ยับยั้งการอุดตันของรูขุมขน , กระตุ้นให้เกิดการสร้างเซลล์ผิวใหม่, เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
AHA ออกฤทธิ์ทั้งผิวหนังชั้นหนังกำพร้า และหนังแท้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ใช้ด้วย
AHA สามารถจัดการปัญหาผิวได้ครอบคลุม ได้แก่ผลัดลอกเซลล์ผิวเสื่อมโทรม เติมความชุ่มชื้นฟื้นฟูผิวอ่อนแอ เพิ่มความยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย ลดเลือนฝ้ากระ จุดด่างดำ ลดการเกิดสิว
Glycolic acid มักใส่มาที่ความเข้มข้น 10-15% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมกับการผลัดเซลล์ผิว พร้อมกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้า ความเข้มข้นที่สูงกว่านี้จะทำให้ Glycolic acid สามารถผ่านเข้าสู่ผิวชั้นหนังแท้ได้มากขึ้น ซึ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว และมีประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยมากขึ้น หากแต่ว่าการใช้ Glycolic acid ที่ความเข้มข้นสูงๆ ต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้มีความชำนาญไม่เช่นนั้นอาจเกิดอาการไม่พึงประสงค์เช่นผิวลอกแดง ระคายเคือง ผิวอ่อนแอเป็นต้น
Mandelic acid มักใส่มาที่ความเข้มข้น 5-10% ซึ่ง Mandelic acid จัดเป็น AHA ที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองน้อยสุด ความเข้มข้นประมาณนี้เป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมในการกระตุ้นให้เกิดการผลัดเซลล์ผิว จัดการเชื้อแบคทีเรียสิวและยับยั้งการอุดตันของรูขุมขนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในความเข้มข้นที่สูงกว่านี้ประสิทธิภาพของ Mandelic acid ถูกใช้เพื่อรักษาสิว กลากเกลื้อนได้เช่นกัน แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
Lactic acid มักใส่มาที่ความเข้มข้นไม่เกิน 10% ซึ่งเป็นความเข้มข้นในการผลัดเซลล์ผิวชั้นนอกหรือเซลล์ที่ตายแล้ว สำหรับสกินแคร์ที่เป็นโพรดักสำหรับใช้ที่บ้าน รวมถึงเป็น AHA ที่ช่วยในการให้ความชุ่มชื้นกับผิว ฟื้นฟูผิวอ่อนแอ แพ้ง่ายระคายเคืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนในความเข้มข้นที่สูงขึ้น มีประสิทธิภาพในการผลัดลอกผิวได้มากขึ้น แต่ต้องใช้ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
PIXI Glow tonic (ทางไปช้อป: ร้าน Sephora)
Drunk elephant T.L.C Framboos glycolic night serum (ทางไปช้อป: ร้าน Sephora)
Olay Luminious Niacinamide+AHA (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่ )
COS Rx clarifying treatment toner (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่ )
YOU AcnePlus AHA BHA PHA Daily Essence (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่ )
BHA หรือชื่อเต็มๆ β-hydroxy acid เป็นสารประกอบอินทรีย์จากกลุ่มของกรดอะโรมาติกไฮดรอกซีคาร์บอกซิลิก สำหรับสาร BHA ได้แก่ Salicylic acid
BHA ลดค่า pH ของผิว ซึ่งเพิ่มคุณสมบัติในการป้องกันเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส หรือเชื้อรา, ลดการผลิตน้ำมันบนใบหน้า, ช่วยกระตุ้นการผลัดและสร้างเซลล์ผิวใหม่
BHA สามารถละลายในไขมันได้ เลยซึมผ่านเข้าสู่ชั้นผิวได้ล้ำลึก
BHA มีสรรพคุณในการจัดการปัญหาสิวอักเสบและไม่อักเสบ ลดการอักเสบและช่วยจัดการความมันส่วนเกินบนใบหน้า
Salicylic acid มักใส่มาที่ความเข้มข้น 1-2% เป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมในการจัดการสิว ทั้งสิวอุดตัน สิวไม่อุดตัน สิวอักเสบ รวมถึงลดการอักเสบของผิว ควบคุมความมันส่วนเกินของใบหน้า ซึ่งกรด BHA ทำให้ผิวระคายเคืองน้อยกว่าเหล่าบรรดากรด AHA
Vikka Skincare Vit-Active B3 Zinc PCA (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่ )
Her Hyness Prebio Complete Anti-Acne Serum (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่ )
La Roche-Posay Effaclar Serum (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่)
Oxecure Blackhead Clearing BHA PHA Toner (ทางไปช้อป: คลิกที่นี่)
สารในกลุ่ม AHA ละลายในน้ำ ส่วน BHA ละลายในไขมัน แต่ทั้งสองสามารถซึมผ่านเข้าสู่ผิวได้อย่างล้ำลึก เพียงแค่กลไกลแตกต่างกัน
สารในกลุ่ม AHA อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองกับผิวมากกว่า BHA
สารในกลุ่ม AHA เมื่อนำมาใส่ในสกินแคร์มักถูกใช้ในความเข้มข้นที่สูง (ความเข้มข้นไม่เกิน 15%) แต่ BHA มักใช้ที่ความเข้มข้น 1-2%
สารในกลุ่ม AHA มีประสิทธิภาพในการจัดการปัญหาผิวครอบคลุมกว่า BHA ทั้งริ้วรอย ฝ้ากระ จุดด่างดำ ปรับสีผิวไม่สม่ำเสมอ เลยจะเห็นสกินแคร์หลากหลายประเภทที่ใส่ AHA ส่วน BHA มักเน้นไปที่การรักษาปัญหาสิว และลดความมันบนใบหน้า มักจะใช้ BHA ในสกินแคร์ลดสิว หรือรอยสิว
👩⚕️คอนเทนต์นี้จัดทำโดยเภสัชกรวิชาชีพประจำ ChoiceChecker👩⚕️
Reference
ความคิดเห็น