ขอเกริ่นก่อนคือต้นเดือนที่ผ่านมาเราได้มีทริปกระทันหันแบบไม่ทันตั้งตัว ก็คือทริปลุยป่า ขึ้นเขาจากบ้านเราไปเบตง ซึ่งเบตงก็ขึ้นชื่อ “ ทริปอ้วกแตกแหกโค้ง “ ที่ใคร ๆ หลายคนคุ้นเคยเพราะทางของมันคือทางขึ้นเขา เป็นจุดท่องเที่ยวสำหรับชมทะเลหมอกที่สวยงามมาก ๆ แน่นอนเราก็ไม่รู้ว่าสภาพอากาสทางนั้นเป็นอย่างไรที่เหมาะกับสกินแคร์รูทีนที่ควรจัดไว้ ก็เลยได้หยิบน้องตัวนี้พกไปด้วยเพราะมันสะดวกดี
รู้หรือไม่ครับว่า..บนในผิวหน้าชั้นนอกสุดของคนเรามี
NMF : Natural Moisture Factor ที่เป็นกลุ่มสารให้ความชุ่มชื้น ซึ่งจะทำหน้าที่ช่วยปกป้องผิวจากการสูญเสียน้ำ โดย NMF มี อะมิโน แอซิดเป็นส่วนประกอบมากกว่า 40% ซึงกรดอะมิโนตัวนี้คือวัตถุดิบชนืดหนึ่งที่ช่วยในการสร้างโปรตีน ซึ่งเป็นส่วนประกิกบหลักที่สำคัญต่อผิว โดยเฉพาะเซลล์บริเวณเกราะผิวที่อยู่ด้านนอกสุด ซึ่งมีหน้าที่คอยกักเก็บน้ำไว้ในชั้นผิวของเรา เพื่อป้องกันการสูยเสียของน้ำ ซึ่งแน่นอนผิวหน้าของเราก็ต้องมีการบำรุงผิว ที่สำคัญความชุ่มชื่นคือห้ามขาดเลย เพราะเมื่อไหร่ที่หน้าของเราแห้ง ลอกขึ้นมา ปัญหาหลายอย่างก็ตามมาเช่น ใบหน้ามีความแก่ก่อนไว ผิวแห้งกร้าน เพราะเหตุนี้ใบหน้าของเราจึงมีความสำคัญที่คอยเติมความชุ่มชื่นที่ห้ามขาดเลยเลยก็คือ
กรดอะมิโน หรือ Amino Acid
.
ซึ่งการที่จะสร้างสมดุลระหว่างกรดอะมิโนให้ผิวของเรานั้นเปรียบเสมือนกับการรดปลูกต้นไม้ ที่ไม่ได้รดน้ำต้นไม้ ไม่ได้ลงปุ๋ยใด ๆ ปล่อยให้มันสู้กับมลภาวะโดด ๆ ไม่มีชีวิตชีวาซึ่งนี่และคือปัจจัยสำคัญของกรดอะมิโนที่จำเป็นมากต่อผิวของเรา
เปรียบเสมือนกับต้นไม้ ถ้าเรารดบ้างไม่รดบ้างมันก็จะไม่สมดุลกัน เราก็สังเกตเห็นได้ชัดแน่นอนเมื่อเราไม่สม่ำเสมอกับมัน เช่น ต้นไม้จะแห้งเหี่ยว เปรียบเสมือนผิวเราจะไม่สดใส การรดน้ำให้ต้นไม้เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ก็เหมือนกับผิวอะมิโนมีมากเท่าไหร่ผิวเราก็จะเบ่งบาน อิ่มฟูเท่านั้น อีกทั้งกรดอะมิโนยังช่วยทำให้ผิวของเราซ่อมแซมตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่รดน้ำต้นไม้ต้นไม้ของเราก็จะไม่โตแน่นอน โตช้า ไม่แข็งแรง ผิวหน้าก็เช่นกัน
กรดอะมิโนมีบทบาทสำคัญต่อร่างกายของเรา เพราะมันจะสร้างคอลลาเจนและกระตุ้นอีลาสติน ซึ่งมันสามารถสร้างได้เองจากร่างกาย แต่ใช่ว่ามันจะเพียงพอเพราะเหตุนี้เราควรที่จะเสริมจากภายนอกลงสู่ชั้นผิว เพราะเหตุนี้เราควรที่จะใช้ Skin care เป็นอีกทางเลือกหนึ่งมาต่อเติมส่วนที่ขาดบนผิวของเรา เพราะในสกินแคร์สามารถนำส่งกรดอะมิโนให้ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ของเราสามารถกักเก็บความชุ่มชื้นได้อย่างสมบูรณ์ ส่งเสริมให้ผิวของเรามีสุขภาพที่แข็งแรง
.
แน่นอนก็ต้องมีคำถามมาอีกว่า Skin Barrier คืออะไร ?
สรุปสั้น ๆ เลยนะ Skin Barrier ประกอบด้วย 2 ส่วนด้วยกันคือ
1. ส่วนแรกเป็นตัวเซลล์
2. และส่วนที่สองไขมันระหว่างเซลล์
ผลลัพธ์ที่ได้สำหรับเราหลังจากลุยทริปนี้กับน้องคนนี้ ส่วนตัวแล้วเป็นคนผิวมันมากซึ่งสภาพอากาสแถวนั้นก็หนาวเย็นพอควรซึ่งเราใช้น้องตัวนี้แล้วรอดนะ หน้าไม่แห้งตึง เนื้อโฟมนุ่มลื่นมากกกกก ที่สำคัญน้องคนนี้ตีฟองค่อนข้างง่ายสำหรับเรา คนผิวแห้งจะเหมาะกับตัวนี้ในทริปนี้ไหมเราก็ไม่แน่ใจ แต่สำหรับเรานะใช้ง่ายใช้แล้วรอด สิวไม่ขึ้นหน้าไม่แห้งตึงเพิ่ม ที่สำคัญสำหรับใครที่กังวงน้องคนนี้ได้ผ่านการทดสอบ Dermatologically tested เรียบร้อยแล้ว
ความคิดเห็น