ประสบการณ์การใช้เครื่องสำอางตั้งแต่อายุ 20 ปี รวมเป็นเวลา30 ปีไม่มากไม่น้อยที่อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่ได้ทดลองมาแล้วหลากหลายแบรนด์ แต่ต้องยอมรับว่าเครื่องสำอางที่ได้ทดลองส่วนใหญ่จะหาซื้อได้ตาม เคาน์เตอร์แบรนด์ ไม่ว่าจะเป็น La Mer La Prairie Estee Lauder Guerlain SK-II L'Occitane Biotherm Lancome Clarins และอีกสารพัดแบรนด์ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น skin care ที่มีการทดลอง มีผลวิจัยในระดับนานาชาติ บางตัวที่ดีก็ใช้ต่อ บางตัวก็ตกรอบไป (และบางตัวก็เลิกใช้ไปเพราะใช้ต่อไปอาจจะต้องขายบ้านขายรถ) ที่จะบอกก็คือ เคาน์เตอร์แบรนด์ ก็คือ Safe Zone ที่ปลอดภัยสำหรับเราซึ่งก่อนใช้อะไรจะต้องศึกษาจนแน่ใจ เพราะมีครั้งหนึ่งในสมัยเป็นสาวน้อยได้ทดลองออกนอก Safe Zone ใช้ครีมในกลุ่มเวชสำอางที่ถ้าบอกชื่อ ทุกคนน่าจะรู้จักแล้วแพ้เป็น สิว ต้องรักษาทั้งสิวและรอยสิวไปเป็นปี
30 ปีผ่านไปก็พูดได้ว่าเป็นผู้ที่รักษาหน้าตัวเองไว้ได้ในระดับที่น่าพอใจ สำหรับสาววัย 50 ซึ่งหน้าไม่เคยผ่านการโบท็อก ร้อยไหม ฟิลเลอร์ หรือแม้แต่เลเซอร์ใดๆ จะด้วยความกลัวที่ต้องออกจาก Safe Zone ที่ตัวเองคิดว่าปลอดภัย หรือความมั่นหน้าในความสวยของตัวเองก็ตาม และแล้วฝันร้ายก็ก่อตัวขึ้นมาช้าๆ ในช่วงโควิด จากสาวสวยใส กลายเป็นแม่ครัวหัวป่า ยิ่งทำยิ่งสนุก อาหารคาว หวาน เบเกอรี่ ทยอยออกมาให้ทุกคนในบ้าน ยิ่งทำยิ่งสนุก คนกินอิ่มท้องคนทำอิ่มใจ ไปๆมาๆ คนทำเริ่มอ้วน นั่นเป็นปัญหาละหนึ่ง แต่นั่นไม่เท่ากับในเช้าวันหนึ่งเพิ่งสังเกตว่า “ฝ้า!!!!!!!!!!!!” ใช่ค่ะ ฝ้า แม่เจ้าสองปีนี้ดิฉันแทบจะไม่ได้ออกจากบ้านไปไหน แดดก็ตากน้อยมาก แล้วมันมาได้ยังไง ถามใครดีละ อาจารย์ google แล้วกัน อาจารย์บอกว่าการโดยรังสีความร้อนหน้าเตาทำให้เกิดฝ้าได้ คิดๆๆ ใช่แน่ๆ (โทษไว้ก่อน) และที่สำคัญขอสะกิดบอกทุกคนตรงนี้เลยนะคะครีมกันแดดเค้าไม่ได้ผลิตมาเฉพาะเวลาที่คุณต้องไปเจอแดดเท่านั้น แสงทุกอย่างล้วนทำลายผิวคุณได้ ซึ่งเมื่อมานั่งคิดๆ ช่วงเวลาที่ไม่ได้ออกจากบ้าน (work from home)ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว นอกจากจะไม่ต้องแต่งหน้าแล้วครีมกันแดดดิฉันก็ไม่ได้ทา ทาแค่ skin care และทาแป้งเบาๆ ก็จบขั้นตอน ใช้ชีวิตในบ้านได้ตามอัธยาศัย มันเป็นความพลาดอย่างร้ายแรง เมื่อพลาดก็ต้องหาทางแก้ไข จะทำไงดีนร้า!!!! ขอบอกอีกครั้งว่า ถ้าคุณอยู่ใน Safe Zone มาตลอด สิ่งที่ยากที่สุดคือเดินออกมา ทีนี้เราก็เริ่มศึกษาเรื่อง ฝ้า ถามหมอผิวหนัง ถามเพื่อน วิธีที่ได้ผลเร็วคือไปทำเลเซอร์ แต่สิ่งที่เพื่อนๆ ที่ไปทำเลเซอร์เจอคือ ทำแล้วโดนแดดไม่ได้ ทำแล้วก็กลับมาอีกและจะเข้มขึ้น ทำแล้วต้องทำตลอดไป ซึ่งมีหลักฐานบนใบหน้าจากเพื่อนบางคน วิธีนี้จึงขอผ่านไปก่อน วิธีต่อมาคือใช้ยา แต่ก็อีกแหละ เพื่อนสาวบอกว่าหน้าเธอบางมาก และฝ้าไม่หาย เผลอๆเข้มขึ้นด้วยซ้ำ แล้ววิธีไหนละจะเหมาะสมกับเรา ไถๆไปไม่รู้ว่าเป็นโชควาสนา เป็นบุพเพสันนิวาส เหมือนโป๊บกับเบลล่าหรือเปล่าที่ สายตาไปเจอกับ VERRASKIN ในคำเครมของแบรนด์ กล่าวว่า “เวอร่าสกิน มุ่งเน้นในการดูแลปัญหาการทำงานที่ผิดปกติของเม็ดสีผิว (HYPERPIGMENTATION) ซึ่งได้แก่ปัญหา ฝ้า กระ จุดด่างดำ รอยแผลเป็นแดง/ดำ รวมทั้งปัญหาผิวหมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส ในการดูแลปัญหาดังกล่าว เวอร่าสกิน เน้นการคัดเลือกนวัตกรรมและส่วนประกอบที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพจากทั่วโลกที่มีผลวิจัยรับรอง เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด โดยจะเน้นการเลือกใช้ส่วนประกอบสำคัญเท่าที่จำเป็นต่อการดูแลปัญหานั้นๆ เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผล นอกจากคุณภาพและประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์และบริการแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ เวอร่าสกิน ยึดถือเป็นสำคัญคือ “ความปลอดภัย” ทั้งต่อผู้บริโภคเอง และต่อสิ่งแวดล้อมอีกด้วย”
VERRASKIN มี 𝟑 𝐒𝐓𝐄𝐏𝐒 ในการดูแลปัญหาฝ้า กระ และความหมองคล้ำอย่างครบวงจร
𝘚𝘛𝘌𝘗 𝟷: 𝐕𝐄𝐑𝐑𝐀𝐒𝐊𝐈𝐍™ 𝐀𝐧𝐭𝐢-𝐌𝐞𝐥𝐚𝐬𝐦𝐚 𝐂𝐨𝐧𝐜𝐞𝐧𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞 𝐒𝐞𝐫𝐮𝐦
เซรั่มเข้มข้นที่ช่วยลดเลือนฝ้า กระ และความหมองคล้ำ อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยส่วนประกอบนวัตกรรมจากประเทศเยอรมนีและสวิตเซอร์แลนด์ที่ช่วย ลดเลือนฝ้าเก่าและป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ในหลอดเดียว ทำให้ฝ้ากระ จางลงเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า โดยใช้ทาบริเวณที่เป็นฝ้ากระ หรือทาทั่วหน้า ทั้งเช้าและเย็นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน
𝘚𝘛𝘌𝘗 𝟸: 𝐕𝐄𝐑𝐑𝐀𝐒𝐊𝐈𝐍™ 𝐃𝐚𝐢𝐥𝐲 𝐒𝐤𝐢𝐧 𝐏𝐫𝐨𝐭𝐞𝐜𝐭𝐢𝐨𝐧 SPF50+ PA++++
ครีมกันแดดที่เหมาะกับคนเป็นฝ้า หรือกลัวเรื่องใบหน้าหมองคล้ำ เพราะนอกจากจะปกป้องผิวจากแสงแดด รังสี UVA UVB คลื่นความร้อนอินฟราเรด ที่เป็นสาเหตุหลักของ ฝ้า กระ ความหมองคล้ำแล้ว ยังมีส่วนประกอบหลักจากสเปนที่ช่วยปกป้องและฟื้นฟูผิวจาก E-Pollution หรือมลภาวะจากอุปกรณ์อิเลกทรอนิกส์อย่าง แสงสีฟ้า คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า คลื่นสัญญาณ WIFI ที่มีการศึกษาวิจัยพบว่าเป็นอีกสาเหตุของปัญหาฝ้า กระ ความหมองคล้ำ และริ้วรอยแห่งวัยอีกด้วย โดยใช้ทาเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการบำรุงผิวประจำวัน และสามารถใช้เติมระหว่างวันเพื่อการปกป้องผิวอย่างต่อเนื่องอีกด้วยค่ะ
𝘚𝘛𝘌𝘗 𝟹: 𝐕𝐄𝐑𝐑𝐀𝐒𝐊𝐈𝐍™ 𝐌𝐄𝐋𝐀-𝟓
วิตามินกินกันฝ้า ตัวช่วยดูแลปัญหาฝ้า กระ และความหมองคล้ำจากภายใน ด้วยส่วนประกอบหลักอย่าง 𝘗𝘠𝘊𝘕𝘖𝘎𝘌𝘕𝘖𝘓® เปลือกสนพันธุ์พิเศษจากประเทศฝรั่งเศสที่ช่วยดูแลปัญหาฝ้ากระ ความหมองคล้ำอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบที่เป็น 𝘚𝘜𝘗𝘌𝘙 𝘈𝘕𝘛𝘐𝘖𝘟𝘐𝘋𝘈𝘕𝘛 อีกมากมายที่ทำงานร่วมกันในการลดเลือนฝ้ากระ ปกป้องผิวจากแสงแดด รวมทั้งกำจัดอนุมูลอิสระ ที่เป็นตัวการหลักในการทำลายเซลล์ผิว โดยแนะนำให้ทานวันละ 2 แคปซูลในตอนเช้าค่ะ
หลังจากได้ศึกษาส่วนผสม คุณสมบัติของ VERRASKIN ในทุกผลิตภัณฑ์ได้ทราบว่าแบรนด์นี้ได้รับการคิดค้นและดูแลโดยเภสัชกร มีผลวิจัยของส่วนผสมทุกตัว ซึ่งเป็นเป้าหมายของนักวิชาการอย่างเรา ความเชื่อมั่นที่จะออกจาก Safe Zone จึงมีมากขึ้น นอกจากนี้ปัญหาฝ้าเป็นปัญหาที่คุณๆ สาวๆ จะเหลือน้อยเหลือมากไม่สามารถรอได้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางไปสู่จุดมุ่งหมาย “กู้หน้าใส ไร้ ฝ้า ในวัย 50” ต่อจากนี้ขอรีวิวการเดินทางเป็นระยะเวลา 2 เดือนที่ได้ทดลองใช้ VERRASKIN ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์กันเลยนะคะ
𝐕𝐄𝐑𝐑𝐀𝐒𝐊𝐈𝐍® 𝐀𝐧𝐭𝐢-𝐌𝐞𝐥𝐚𝐬𝐦𝐚 𝐂𝐨𝐧𝐜𝐞𝐧𝐭𝐫𝐚𝐭𝐞 𝐒𝐞𝐫𝐮𝐦
ลักษณะผลิตภัณฑ์ เป็นครีมข้น สีเหลืองอ่อนๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ เนื้อเบาซึมง่าย แต่ยังคงความชุ่มชื้นไว้บนผิว ภายหลังการทาไม่รู้สึกแสบหรือคัน ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดสิว ไม่ทำให้ผิวมันสามารถทาได้ทั้งเช้า-เย็น
𝐕𝐄𝐑𝐑𝐀𝐒𝐊𝐈𝐍™ 𝐃𝐚𝐢𝐥𝐲 𝐒𝐤𝐢𝐧 𝐏𝐫𝐨𝐭𝐞𝐜𝐭𝐢𝐨𝐧 SPF50+ PA++++
ลักษณะผลิตภัณฑ์ครีมกันแดด เป็นครีมข้นสีขาว มีกลิ่นอ่อนๆ ไม่ทำให้ผิวมัน ไม่ทำให้สีรองพื้นเปลี่ยน ภายหลังการใช้ไม่ทำให้เกิดการอุดตัน ไม่ก่อให้เกิดสิว
𝐕𝐄𝐑𝐑𝐀𝐒𝐊𝐈𝐍™𝐌𝐄𝐋𝐀-𝟓
ลักษณะผลิตภัณฑ์วิตามินป้องกันฝ้ากระ จุดด่างดำ เป็นเม็ดแคปซูล มีกลิ่นเล็กน้อยทานง่าย
ความคิดเห็นหลังใช้ผลิตภัณฑ์ : VERRASKIN 𝟑 𝐒𝐓𝐄𝐏𝐒 ในการดูแลปัญหาฝ้า กระ และความหมองคล้ำอย่างครบวงจร เป็นระยะเวลา 2 เดือน (60 วัน) พบว่า
ความคิดเห็น