ความรุนแรงของรังสี UV ช่วงนี้คือสุดปังชนิดที่เรียกว่าแสบผิวเลยทีเดียว ดังนั้นไอเทมคู่กายที่ขาดไม่ได้ในทุกวันคือ Sunscreen ที่ช่วยปกป้องผิวเราจากรังสี UVA, UVB รวมถึง Bluelight และ Infrared เพื่อลดการเกิดสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ผิวหมองคล้ำ ริ้วรอยก่อนวัย รวมถึงปัญหาผิวต่างๆ อีกเพียบ!
แต่นอกเหนือจากประสิทธิภาพในการปกป้องผิวแล้ว อย่างที่เรารู้กันดีว่าหาก ต้องการให้กันแดดได้ตามค่าที่ระบุไว้บนบรรจุภัณฑ์ควรทาให้ได้ปริมาณ 2mg/cm². หรือประมาณ 2 ข้อนิ้วสำหรับทาทั่วบริเวณใบหน้าและอีก 2 ข้อนิ้วสำหรับทาบริเวณลำคอ ซึ่งก็ถือว่าเป็นปริมาณที่ไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นเราเลยขอยกตัวอย่างกันแดด 3 ตัวที่เราหยิบใช้ในช่วงนี้แล้วสามารถทาในปริมาณนี้ได้มาฝากกันฮะ
เริ่มที่ตัวแรกอย่าง DERMASTIR SUNPROTECTION SPF 50+ (50ml./1,950.-) กันแดดจากประเทศฝรั่งเศสที่ใส่สารกันแดดเจ๋งๆ เข้ามาหลายตัว เช่น Parsol MCX, Tinosorb S, Ensulizole, DHHB และ Ethylhexyl Triazone ทำให้เราค่อนข้างมั่นใจในประสิทธิการของการปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อย่างเต็มที่ แถมยังเสริม Vitamin E ที่ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นและการต้านอนุมูลอิสระเข้ามาด้วย
ด้าน Texture (เนื้อสัมผัส) มาในรูปแบบครีมที่ค่อนข้าง Rich เลยทีเดียว แต่ที่น่าสนใจคือเมื่อเกลี่ยลงบนผิวสามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ค่อนข้างง่าย มอบความชุ่มชื้นไว้บนผิวได้ยาวนาน คนผิวแห้งน่าจะเลิฟกันแดดตัวนี้ อย่างเราที่เป็นมนุษย์ผิวผสม-มัน ก็สามารถใช้กันแดดตัวนี้แทนมอยส์เจอร์ไรเซอร์ในตอนกลางวันไปได้เลย โดยจะแบ่งทาทีละ 1 ข้อนิ้วแล้วค่อยๆ เกลี่ยทีละบริเวณครับ อ๋อ! ทางแบรนด์เคลมว่ามีคุณสมบัติในการกันน้ำด้วยนะแต่ไม่ระบุว่ากันได้นานกี่นาทีฮะ
ปล. กันแดดตัวนี้ทำให้ผิวดูไบร์ทขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อปล่อยให้เค้าเซตตัวซักพักจะค่อยๆ กลืนเข้ากับผิว แต่ถ้าใครที่ผิวเข้มกว่าเรามากๆ อาจต้องทดสอบเนื้อดูก่อนนะครับ
มาต่อกันที่ The 28 Protection UV CUT Water screen SPF 50+ PA++++ (40ml./980.-) ทางแบรนด์เลือกใช้สารกันแดดประเภท Hybird ที่ค่อนข้างใหม่อย่าง Methylene Bis-benzotriazolyl Tetramethylbutylphenol ซึ่งเป็นสารกันแดดที่ทำหน้าที่ทั้งสะท้อนและดูดซับรังสี UV ได้ทั้งตัวเดียว ด้วยความสามารถกระจายตัวได้ดีจึงสามารถกรองรังสี UVA ได้ดี แถมยังสะท้อนรังสี UVB และ Visible light ได้เป็นอย่างดี แถมยังสารสกัดอีกหลายตัวเข้ามาเสริมด้านความชุ่มชื้นอีกถือว่าไม่เลวเลยหละ
ด้าน Texture (เนื้อสัมผัส) เป็นกันแดดเนื้อน้ำนมที่เบาที่สุดแล้วในทั้ง 3 ตัวที่เราหยิบมา เกลี่ยค่อนข้างง่ายไม่ทำให้ผิวมันขึ้นระหว่างวัน แต่ตัวมันเองก็ไม่ได้คุมมันนะ ไม่เป็นคราบ ไม่ขาวลอย หยิบใช้เป็นกันแดดในวันสบายๆ ที่ไม่ได้ไปไหนหรือไม่มี activity ที่เหงื่อออกเยอะๆ ได้ดีเลยหละ และส่วนตัวคิดว่าคนผิวผสม-มัน น่าจะเลิฟน้องคนนี้ฮะ
ปิดท้ายด้วยกันแดดแบรนด์ไทยที่ใช้หมดแบบไม่นับหลอดแล้วอย่าง VERRASKIN Daily Skin Protection SPF50+ PA++++(20ml./490.-) ทางแบรนด์ใช้ UV Filter อย่าง ENHANCE U-S ซึ่งเป็นสารกันแดดที่ผสาน Zinc Oxide, Titanium Dioxide และ Silica เข้าด้วยกันด้วยโมเลกุลขนาดเล็ก ที่สามารถป้องกันรังสี UV ได้ครบและเสริมด้วย AQUABLU-LITE ที่เป็น Combination ของสารหลายชนิดในรูปแบบ Encapsulation ช่วยป้องกันแสงสีฟ้าและรังสีอินฟราเรด พร้อมป้องการสูญเสียน้ำในผิวได้อย่างลงตัว
สำหรับ Texture (เนื้อสัมผัส) ของกันแดดตัวนี้เป็นเนื้อเจลที่เบลนด์มาได้บางเบาและสบายผิวสุดๆ ทำให้เกลี่ยค่อนข้างง่าย ไม่เกิดอาการ Ball-up, เป็นขุย, ไม่เป็นคราบขาว สามารถเติมระหว่างวันได้โดยไม่รู้สึกเหนอะหนะผิว และที่เราเลิฟที่สุดคือหลังทาจะได้ Finished Look ที่ดูฉ่ำน้ำสุภาพดี(แต่ไม่มัน) วันไหนที่เราอยากได้ลุคที่ดูโกลว์หน่อยกันแดดหลอดนี้คือตอบโจทย์ที่สุดแล้วหละฮะ
นี่ก็เป็นกันแดดกันใจทั้ง 3 แบรนด์ที่เราหยิบใช้บ่อยๆ ในช่วงนี้โดยจะสลับใช้ตามกิจกรรมที่ทำในวันนั้นๆ ซึ่งจากที่ลองใช้ด้วยตัวเองเราคิดว่า 3 แบรนด์นี้กันแดดได้ดีทั้ง 3 ตัวเมื่อทาในปริมาณที่เหมาะสมและต้องไม่ลืมทาซ้ำระหว่างวันทุกๆ 2-4 ชม. ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเพื่อนๆ แล้วว่าชอบเนื้อสัมผัสแบบไหนมากกว่ากันฮะ
ความคิดเห็น