เพื่อนๆเคยสังเกตไหมว่ากลิ่นน้ำหอมตอนที่เราฉีดใหม่ๆ กับตอนที่เราใช้ไปแล้วครึ่งวันกลิ่นมันจะไม่เหมือนกันเป๊ะๆ แต่นั่นจะเป็นเพราะอะไร วันนี้ ChoiceChecker ขอรวมเป็นคัมภีร์เลือกน้ำหอมเล่าให้ฟังกันค่ะ
Fragrance Note คือ ชั้นของกลิ่นน้ำหอมซึ่งจะมีทั้งหมด 3 ชั้นกลิ่น ได้แก่ Top Note, Middle Note และ Base Note ทั้งหมดนี้จะทำงานร่วมกันเพื่อให้น้ำหอมออกมามีกลิ่นที่สมบูรณ์ หรือพูดง่ายๆว่าถ้าขาดชั้นใดชั้นหนึ่งไป น้ำหอมของเราก็อาจจะออกมาเป็นกลิ่นที่ไม่ค่อยสมบูรณ์ ไม่ค่อยมีชีวิตชีวานั่นเอง
1.Top note (อยู่ส่วนยอดของพีระมิด) เป็นกลิ่นแรกที่เราจะได้กลิ่นทันทีและจะค่อยๆจางไป ประมาณ 10-20 นาที Top Note เป็นกลิ่นที่เป็นตัวสร้างความประทับใจแรกเมื่อหยิบน้ำหอมขวดนั้นขึ้นมาสัมผัสกลิ่น แม้กลิ่นจะไม่ได้ติดทนมากนักแต่ก็เป็นตัวสำคัญที่จะทำให้เราไปสัมผัสกลิ่นชั้นอื่นๆที่อยู่ในน้ำหอมขวดนั้นได้
กลุ่มน้ำหอมที่เป็น Top Note ส่วนใหญ่จะเป็นกลิ่นในกลุ่มตระกูล citrus พวก ส้ม มะนาว มะกรูด กุหลาบ โหระพา เสจ ลาเวนเดอร์
2.Middle Note (เป็นชั้นที่อยู่ตรงกลางในพีระมิด) หรือมีอีกชื่อเรียกนึงว่า Heart Note ซึ่งหมายถึงเป็นหัวใจของกลิ่น เป็นกลิ่นหลักของน้ำหมอนั่นเอง กลิ่นในชั้นนี้ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญของน้ำหอมทุกขวดเลย โดยกลิ่นจะอยู่ได้นานประมาณ 3-6 ชม. Middle Note เป็นตัวช่วยเชื่อมระหว่างกลิ่น Top Note และช่วยทำให้กลิ่นสุดท้ายหรือ Base Note ชัดมากขึ้นด้วย กลิ่น Middle Note จึงเป็นกลิ่นที่ค่อนข้างกลมกล่อม หวาน สบายๆ
กลิ่นที่เป็น Middle Note เช่น Juniper, Hibicus, Almond
3. Base Note (ฐานพีระมิด) โดยจะเริ่มมาหลังจาก Middle Note เริ่มจางหายไป ซึ่งจะเป็นกลิ่นสุดท้ายที่อยู่กับเรา โดยจะอยู่ทนได้นานมากกว่า 6 ชั่วโมงเลย
กลิ่นที่มักจะถูกนำมาใช้ เช่น vanilla, cedarwood, sandalwood
มาต่อกันที่คัมภีร์เลือกน้ำหอมฉบับที่ 2 กันค่ะ วันนี้ ChoiceChecker จะพาเพื่อนๆมารู้จักกับกลุ่มน้ำหอมในตระกูลกลิ่นต่างๆ เราจะได้เข้าใจว่ากลิ่นตระกูลไหนจะมีแนวกลิ่นเป็นยังไง แล้วมีลักษณะเป็นยังไง อยู่ในชั้นกลิ่นแบบไหน ซึ่งกลิ่นในตระกูลต่างๆ ประเภทต่างๆ เมื่อถูกนำมาผสมผสานกันให้ลงตัวแล้วก็จะกลายเป็นกลิ่นน้ำหอมที่เราใช้กันในทุกๆวันค่ะ
1.Citrus
แนวกลิ่นนี้จะเป้นกลิ่นที่อยู่ในพืชกลุ่มซีตรัส เช่น ส้ม มะกรูด และเลม่อน เป็นกลิ่นที่ทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวา สดชื่น สดใส หรืออาจจะลองนึกถึงกลิ่นในช่วงซัมเมอร์ที่ได้กลิ่นแล้วจะเป็นความสดชื่น คลายร้อนได้ค่ะ โดยกลิ่นกลุ่มนี้มักจะอยู่ในกลุ่ม Top note ซึ่งกลิ่นจะจางเร็วประมาณ 10-20 นาที
2.Aromatic
แนวกลิ่นนี้จะมีความเป็นกลิ่นธรรมชาติ ออกแนวสมุนไพร เช่น ลาเวนเดอร์ โรสแมรี่ ยี่หร่า ตระไคร้ กลิ่นแนวนี้มักอยู่ในน้ำหอมผู้ชาย โดยจะเป็นกลิ่นกลุ่ม Top note ซึ่งกลิ่นจะจางเร็วประมาณ 10-20 นาที
3.Green
แนวกลิ่นนี้จะเป็นพวก หญ้า ใบไม้ ยางไม้ต่างๆ เหมาะกับลุดสปอร์ตๆ หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยถูกใจกลิ่นนี้เพราะกลิ่นจะออกเหม็นเขียวนิดๆ (บางคนบอกว่าเหมือนกลิ่นหญ้าที่เพิ่งถูกตัด) เช่น กลิ่นใบไม้ กลิ่นหญ้า หรือกลิ่นหิน ส่วนมากจะเป็นกลิ่นกลุ่ม middle note (อยู่ได้ประมาณ 3-6 ชม.)
4.Minty
แนวกลิ่นนี้จะเป้นกลิ่นที่เย็นสดชื่น สะอาด เช่น เปเปอร์มิ้น สเปียร์มิ้น ที่อาจจะคุ้นจากกลิ่นยาสีฟัน หมากฝรั่ง หรือ Romm Spray กัน ส่วนมากจะเป็นกลิ่นกลุ่ม middle note (อยู่ได้ประมาณ 3-6 ชม.)
5.Spice
แนวกลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นกลุ่มเครื่องเทศ ซึ่งอาจมีกลิ่นฉุน และมีกลิ่นเฉพาะตัว เช่น อบเชย กระเทียม พริกไทย ซึ่งเป็นกลิ่นที่นิยมกันในแถบตะวันออกกลาง ส่วนมากจะเป็นกลิ่นกลุ่ม middle note (อยู่ได้ประมาณ 3-6 ชม.)
6.Floral
แนวกลิ่นนี้จะเป็นกลิ่นพวกดอกไม้ เป็นกลิ่นที่ความหลากหลายมากๆ กลิ่นจะมีลักษณะนุ่มๆ หอมหวาน โรแมนติก มักจะใช้เป็นกลิ่นน้ำหอมสำหรับผู้หญิง เช่น กุหลาบ มะลิ ดอกPeony ส่วนมากจะเป็นกลิ่นกลุ่ม middle note (อยู่ได้ประมาณ 3-6 ชม.)
7. Fruity
แนวกลิ่นนี้มันเป็นกลิ่นของผลไม้ที่ ชุ่มฉ่ำ สดชื่น สดใส ตัวอย่าง แอปเปิ้ล พีช เสาวรส และพวกไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ แนวกลิ่นนี้มันใช้เป็นน้ำหอมในฤดูร้อน มักอยู่ในกลุ่ม middle note
8. Oceanic
แนวกลิ่นแบบเสื้อผ้าที่ซักใหม่ๆ หรือกลิ่นแบบสูดอากาศบนยอดเขา มักอยู่ในกลุ่ม middle note
9. Oriental
แนวกลิ่นจะเป็นแนวผู้หญิงลึกลับน่าค้นหา คาดเดายาก และพร้อมที่จะเผยเอกลักษณ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจ มักอยู่ในกลุ่ม middle note
10. Woody
เป็นกลิ่นแนว กลิ่นไม้อบอุ่น สุขุม ลึกลับ เช่นพวก ไม้จันทร์ หญ้าแฝก มันอยู่ในกลุ่มของ Base note และมักใช้เป็นน้ำหอมของผู้ชาย
11. Balsamic
เป็นแนวกลิ่นที่ให้ความรู้สึกที่เป็นกันเอง สบายๆ มักจะเป็นพวก วนิลา รวงข้าวมักใช้เป็น base note
12. Musky
เป็นกลิ่นที่ทำให้น้ำหอมติดทนนาน มันสกัดมาจากผิวของสัตว์
ข้อมูลอ้างอิง
ความคิดเห็น