ไม่ว่าผ่านมาแล้วกี่ปีๆ สิวก็ยังไม่หายเสียที ขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก อยากหลุดออกจากวงจรสิวเสียที choicechecker เข้าใจความรู้สึกเป็นอย่างดี แต่ให้พูดตามตรงการหลุดจากวงจรสิวนั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องปรับพฤติกรรมหลายอย่างควบคู่กันไปด้วยเช่น การนอน การกิน การออกกำลังกาย การจัดการภาวะเครียด ทุกอย่างต้องทำไปควบคู่กับการใช้สกินแคร์หรือยาทาสิว
เลือกทางลัดไปอ่านหัวข้อที่สนใจกันเลย
การใช้ยาทาสิวให้ถูกกต้องก็สำคัญเช่นกัน เพราะแต่ละตัวมีวิธีการใช้ ผลข้างเคียงไม่เหมือนกัน ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีก็อาจยิ่งทำให้หน้าพังง่ายขึ้น วันนี้ Choicechecker จะมาอัพเดตข้อควรรู้ของยาทาสิวแต่ละตัวที่มีขายในท้องตลาด ทั้งนี้คอนเทนต์นี้จัดทำโดยเภสัชกรผู้มีใบประกอบโรคศิลป์ โดยมีจุดประสงค์ให้ความรู้ ไม่ได้มีการโฆษณาสินค้าตัวใดตัวแต่อย่างไร
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์: Benzac AC®, Enzoxid®, Acnederm® เป็นต้น
1. ยาทาสิวชนิดนี้ช่วยลดสิวโดยการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย P. acnes ที่อยู่ตามผิวหนังและในรูขุมขน นอกจากนั้นยังมีฤทธิ์อ่อนๆในการช่วยผลัดเซลล์ผิว และลดความมันบนใบหน้าอีกด้วย
2. ความเข้มข้นของยาที่มีขายในท้องตลาดของไทยมี 2 ความเข้มข้นได้แก่ 2.5% และ 5% สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นใช้แนะนำที่ 2.5%
3. ยาทาสิวชนิดนี้สามารถใช้เดี่ยวๆได้ หรือใช้คู่กับยาทาสิวแบบยาปฏิชีวนะหรือ Adapalene ก็จะได้ประสิทธิภาพที่ดีกว่า โดยเฉพาะสิวอักเสบควรใช้คู่กับยาทาสิวแบบยาปฏิชีวนะ
4. วิธีการใช้ยาทาสิวชนิดนี้ทาทิ้งไว้ 15-25 นาที แล้วล้างออก ไม่ควรทายาทาสิวชนิดนี้ทิ้งไว้นานเกินไป หรือข้ามคืน แนะนำให้ใช้ 2-4 เดือน วันละ 1-2 ครั้ง จะเห็นผลได้อย่างมีประสิทธิภาพสุด
5. อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น ผิวหน้าแห้งลอก รู้สึกแสบหน้า หรือระคายเคืองผิวหน้า หากเกิดอาการเช่นนี้ควรหยุดใช้ หรือลดเวลาการใช้งานเช่นจาก 20 นาทีเหลือ 10 นาที หรือใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ สารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี สารสกัดจากแตงกวา สารสกัดจาก Witch hazel ทาเพิ่มเติมได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์: Eryacne®, Clinda M, Clindalin, Vitara clinda gel, Metronidazole Robaz® Gel
1. ยาทาสิวในกลุ่มยาปฏิชีวนะ จะมีส่วนผสมของตัวยา clindamycin, erythromycin หรือ tetracycline แต่ส่วนผมากในหลายยี่ห้อใช้ clindamycin หรือ erythromycin
2. ยาปฏิชีวนะในกลุ่มนี้ช่วยลดสิว โดยการฆ่าเชื้อสิวและยับยั้นการเติบโตของเชื้อสิว P. acnes สามารถช่วยลดการอักเสบที่เกิดจากเชื้อสิวได้
3. ยาทาสิวชนิดนี้ ไม่แนะนำให้ใช้เป็นยาเดี่ยวๆ แนะนำให้ใช้คู่กับยาทาสิวในกลุ่มเรตินอยด์ หรือยาทาสิวกลุ่ม Benzoyl peroxide จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาและลดโอกาสดื้อยา
4. ยาทาสิวชนิดนี้ หากใช้บ่อยๆ มีโอกาสดื้อยา กล่าวคือใช้เท่าไร ก็ไม่หาย ไม่ดีขึ้น
5. อาการข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เช่น ผิวหน้าแห้งลอก ผิวกร้าน หากมีอาการเหล่านี้สามารถใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์ที่มีส่วนผสมของว่านหางจระเข้ สารสกัดจากใบบัวบก วิตามินอี สารสกัดจากแตงกวา สารสกัดจาก Witch hazel ทาเพิ่มเติมได้
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์: Retacnyl® Cream, Vitara® Acnetin-A Cream, Tintin Cream, DermaKlares Tretinoin-A Soft Gel, Stieva-A™ Cream, Differin® Gel
1. ยาทาสิวในกลุ่มเรตินอยด์ที่มีส่วนผสมของตัวยา tretinoin มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ Retacnyl® Cream, Vitara® Acnetin-A Cream, Tintin Cream, DermaKlares Tretinoin-A Soft Gel, Stieva-A™ Cream
2. ยาทาสิวในกลุ่มเรตินอยด์ที่มีส่วนผสมของตัวยา adapalene มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ Differin® Gel
3. ยาทาสิวในกลุ่มนี้ช่วยละลายหัวสิว ลดการอักเสบ ทำให้หัวสิวละลายออกมา อีกทั้งช่วยผลัดเซลล์ผิวได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังมีประสิทธิภาพช่วยชะลอวัย (antiaging) อีกด้วย เช่น ลดริ้วรอย ปรับผิวเรียบเนียน ปรับผิวกระจ่างใส เป็นต้น
4. ผลข้างเคียงจากการใช้ยาเช่น ระคายเคืองผิว ผิวแห้ง แดง คัน ลอก ผิวไหม้ หยาบกร้าน
5. ยาทาสิวเรตินอยด์ที่มีส่วนผสมของ adapalene มีผลข้างเคียงกับผิวน้อยกว่ายาทาสิวเรตินอยด์ที่มีส่วนผสมของ tretinoin และไม่จำเป็นต้องใช้เพียงแต่ช่วงกลางคืนเท่านั้น สามารถใช้ได้ทั้งเช้า-เย็น
6.ยาทาสิวในกลุ่มเรตินอยด์มักถูกแนะนำให้ใช้คู่กับยาทาสิวในกลุ่ม Benzoyl peroxide หรือยาทาสิวกลุ่มยาปฏิชีวนะ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาสิว
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์: Skinoren® Cream (มี Azelaic Acid 20%)
1. ยาในกลุ่มนี้ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียสิว anarobes และ aerobes , ช่วยผลัดเซลล์ผิวลดการอักเสบ และลดการสร้างไขมันบนใบหน้า
2. ผลข้างเคียงจากการใช้ยาทาสิวกลุ่มนี้ได้แก่ ผิวไหม้ มีสะเก็ด แห้งลอก ระคายเคืองคัน
3. ยาทาสิวในกลุ่มนี้สามารถใช้ร่วมกับยาทาสิวกลุ่มฆ่าเชื้อแบบรับประทาน และแนะนำให้เริ่มใช้จากวันละ 1 ครั้งจากนั้นค่อยปรับเป็นวันละ 2 ครั้ง ในช่วงเดือนแรกอาจจะเห็นผลช้าหน่อยแต่เริ่มเห็นผลต่อการตอบสนองต่อเชื้อสิวได้ดีขึ้นภายใน 6 เดือน
4. ยาทาสิวในกลุ่มนี้ยังมีประสิทธิภาพลดการสร้างเม็ดสี ช่วยปรับผิวสีของคนที่เป็นฝ้ากระหรือมีจุดด่างดำ
5. เนื่องจากยาทาสิวในกลุ่มนี้มีประสิทธิภาพในการจัดการฆ่าเชื้อสิวทั้งแบบ anarobes และ aerobes จึงสามารถช่วยรักษาโรคผิวหนังอักเสบ (papulopustular rosacea) ที่มีลักษณะอาการหน้าแดง มีตุ่มนูน ตลอดเวลาได้ ทั้งนี้ควรทานคู่กับยาฆ่าเชื้อด้วย
นอกจากยาทาสิว 4 กลุ่มที่กล่าวไปด้านต้นแล้ว ก็ยังมียาทาสิวกลุ่มอื่นๆอีกเช่น
กลุ่ม Sulfur (กำมะถัน) ซึ่งออกฤทธิ์: ยับยั้งเชื้อราและแบคทีเรีย ลดการผลิตเคราติน (Keratin) และช่วยผลัดเซลล์ผิวตัวอย่างผลิตภัณฑ์: Der La Cruz Sulfur Ointment ขี้ผึ้งแต้มสิว (มี Sulfur 10%)
กลุ่ม Clascoterone ซึ่งออกฤทธิ์ลดความมันส่วนเกินจากการกระตุ้นของฮอร์โมนเพศชาย DHT กลไกนี้มีอยู่ในยา Isotretinoin และ Spironolactone(ยาคุมกำเนิด) ที่เป็นยากินรักษาสิวอยู่แล้ว แต่ถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ในวงการยารูปแบบทาเลยค่ะ เป็นทางเลือกในการรักษาสิวฮอร์โมนแบบไม่ต้องทานยา
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์: Winlevi® Clascoterone Cream 1%
กลุ่มยาลูกครึ่ง ซึ่งเป็นการผสมผสานตัวยาของ 2 กลุ่มเช่นกลุ่มยาปฏิชีวนะ กับกลุ่มยาเรตินอยด์ หรือกลุ่มยาปฏิชีวินะกับกลุ่มยา Benzoyl peroxide เป็นต้น
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นการกล่าวถึงยารักษาสิวในรูปแบบทาเท่านั้น ดังนั้นจึงค่อนข้างมีความปลอดภัยระดับนึง แต่กรณีที่เป็นสิวที่มีความรุนแรงอาจต้องใช้ยารักษาสิวในรูปแบบรับประทานควบคู่กันไป ซึ่งไม่ควรหาซื้อมารับประทานเองอย่างยิ่ง จริงๆแล้วการใช้ยาสิวไม่ว่ารูปแบบไหน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร ไม่ควรประมาทโดยเด็ดขาด เพราะตัวยาบางตัวมีผลต่อทารกให้ครรภ์
Reference
ความคิดเห็น